เกจิละสังขารแล้วสรีระไม่เน่าเปื่อย?

จากข่าว หลวงพ่อพูลละสังขารนาน 11 ปี แต่ร่างเปลี่ยน “สีทอง” แปลกกว่านั้น ซึ่งแปลกยิ่งไปกว่านั้นคือสังขารท่านยังเหมือนกับมีชีวิต โดยลูกศิษย์เชื่อเกิดจากบารมีของหลวงพ่อพูลเอง จึงทำให้เกิดคำถามจากผู้อ่านว่า เพราะเหตุใดสรีระร่างของท่าน จึงไม่เน่าเปื่อย
“ไม่ได้ลบหลู่นะครับ ขอถามผู้รู้ครับ สงัสยเวลาละสังขารแล้วทำไมไม่เผาครับ ท่านสั่งไว้รึไงครับ ท่านสอนไม่ให้ยึดติดแล้วปล่อยวาง สังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่ ท่านร่างทำไมยังอยู่ครับ ผมคิดแบบผมนะครับ สตาปไว้รึเปล่าครับ หรือใช้ปูนขาวโรยไว้ครับ หรือฉีดยาไว้ครับ อันนี้ไม่ได้ลบหลู่นะแค่สงสัย มันผิดเพี้ยนจากคำสอนพระพุทธเจ้ารึเปล่าครับ ผู้รู้บอกทีครับ”
เรื่องนี้ทีมข่าวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้ค้นข้อมูลมาว่า เพราะเหตุใด ครูบาอาจารย์เกจิหลายๆท่าน อาทิ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี, หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี, ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์, หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์, หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม., หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ล่าสุดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี สรีระร่างจึงไม่เน่าเปื่อย
โดยเราจะยกสมมติฐานที่เคยมีผู้เล่าไว้ทั้งหมด 3 ประการด้วย กัน
ประการแรกในทางความเชื่อ
หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ ได้เล่าถึงสาเหตุที่เกจิสรีระร่างไม่เน่า นั่นเป็นเพราะท่านเหล่านั้นล้วนแต่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้อธิษฐานทิ้งร่างไว้ให้คนสักการะกราบไหว้
อาทิ
หลวงปู่หมุน ก็เคยสั่งกับคุณอำนวย (น้านวย) ศิษย์ผู้ดูแลใกล้ชิด ว่าให้เก็บสรีระสังขารไว้ที่เจดีย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ลุกหามากราบไหว้ เมื่อท่านละสังขารแล้วร่างจะกลายเป็นหิน ซึ่งนายอำนวยได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ...
“บั้นปลายชีวิตหลวงปู่ถามผมความคืบหน้าเจดีย์ ผมจะบอกหลวงปู่เสมอว่าเจดีย์ยังสร้างไม่เสร็จ ถามเท่าไหร่ๆ ผมก็อ้างว่าตรงนั้น ตรงนี้ ยังไม่เสร็จเหลืออีกหน่อยหนึ่ง เรื่อยไป... เพราะเป็นความเชื่อส่วนตัวว่า หากเจดีย์เสร็จท่านจะจากไป... สุดท้ายท่านคงเอะใจ ให้พาขึ้นไปดูไอ้ตรงจุดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ผมก็จำใจพาไป ... ท่านก็กล่าวว่า “มันไม่ได้ติดอะไรเลย อีกนิดเดียวก็เสร็จนี่” ...
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่านก็ละสังขารไป ในวันที่ 11 มีนาคม 2546 สิริอายุได้ 109 ปี 87 พรรษา
วาจาสิทธิ์ของหลวงปู่หมุน ที่ได้กล่าวไว้ก่อนละสังขาร ซึ่งลูกศิษย์และชาวบ้านต่างจดจำได้ติดหู คือ
"..ของๆฉันสร้างเองกับมือ ใครมีไว้บูชาจะ หมุนโชคลาภร่ำรวยตลอดเวลา ทำมาค้าขึ้น ไม่มีวันจนประกอบสัมมาอาชีพใดก็รุ่งเรือง เจริญลาภยศสรรเสริญ จะมีชื่อเสียงหอมขจรขจาย ขอให้เป็นคนดี คิดดี ทำดี ละเว้นชั่ว คุณพระจะรักษา เทวดาจะคุ้มครอง แม้นว่าฉันจะตายไป ของๆ ฉันจะขลังกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า น้ำลาย ไอปาก ลมปราณที่ประจุลงไปด้วยพลังจิตอันเข้มขลังของฉัน ย่อมเป็น หนึ่งบ่เป็นสอง ครบเครื่องเป็นองค์พระที่ดีทั้งนอก ดีทั้งใน ฝากไว้ในแผ่นดิน ให้เลื่องชื่อลือนาม ลือเรื่องถึงเมืองแมน "
ประการที่สอง
ในทางกึ่งความเชื่อกึ่งวิทยาศาสตร์ เกจิอาจารย์ที่ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกจิตทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดรังสีประเภทหนึ่งขึ้นในตัว
"รังสีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติ เคยมีการวัดรังสีเหล่านี้แบบวิทยาศาสตร์ โดยมีเครื่องมือวัดเหมือนวัดรังสีออร่า ก็สามารถตรวจวัดได้ระดับหนึ่ง ซึ่งในร่างกายคนเราปกติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่แล้ว ถ้าเอามือไปอังใกล้ๆ จะรู้สึกมีการคลายความร้อน รังสีตัวนี้เมื่อคนที่ฝึกกรรมฐานมาแล้ว จิตพัฒนาไปจนสามารถที่จะรวบรวมรังสีเหล่านี้ได้ และส่งออกไปข้างนอกได้ ก็คือส่งไปอาบวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า "การปลุกเสก" นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น